รหัสสินค้า | SKU-00045 |
หมวดหมู่ | ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ |
ราคา | 250.00 บาท |
บาร์โค้ด | 8859224901035 |
สถานะสินค้า | พร้อมส่ง |
ลงสินค้า | 24 ธ.ค. 2564 |
อัพเดทล่าสุด | 17 ก.ค. 2568 |
คงเหลือ | ไม่จำกัด |
จำนวน | กระปุก |
ซี-เครท
C-CRET
ผิวสวยด้วยสารสกัดจาก Acerola Cherry
สารสกัด Acerola Cherry นั้น เป็นสารสกัดเข้มข้นประกอบไปด้วย แร่ธาตุ โปรตีน ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม และวิตามินเป็นจำนวนมากเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีสูงกว่าวิตามินซีในส้ม และเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอื่น ๆ ได้แก่สารจากแคโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ โดยมีสารสำคัญตัวหนึ่งชื่อว่า Trans-Beta-Carotene ซึ่งสามารถเสริมภูมิต้านทานของร่างกายได้ นอกจากนี้ Anthocyanins ที่พบในอะเซโรล่าเชอร์รี่นั้นยังช่วยลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากรังสียูวีได้
Acerola Cherry ไม่เหมาะกับใครบ้าง
ถึงแม้ว่าอะเซโรล่าเชอร์รี่นั้นจะมีผลดีในด้านการให้วิตามินซี แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับประทานได้ เนื่องจากอะเซโรล่าเชอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมาก ซึ่งวิตามินซีเหล่านั้นอาจทำปฏิกิริยากับยาในกลุ่มควบคุมการแข็งตัวของเลือดและอาจจะลดประสิทธิภาพของยาลงได้ และวิตามินซีที่สูงนั้นอาจมีผลต่อการทำงานของไต ถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่แล้ว การบริโภคอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของอะเซโรล่าเชอร์รี่ ควรอยู่ในการควบคุมและตามคำแนะนำของแพทย์
ประโยชน์ของสารสกัด Acerola Cherry
· สร้างเสริมคอลลาเจน
· เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
· ช่วยลดเลือนริ้วรอย
· ทำหน้าที่เป็นตัวสมานผิว
· ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ
· ต่อต้านอนุมูลอิสระ
· ซ่อมแซมผิวที่เสีย
· ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว
· ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส
· ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี
· ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
· ช่วยจัดการกับปัญหาสิวและปัญหาผิวหนังอื่น ๆ
Citrus Bioflavonoid
สารสกัดจากพืชตระกูลส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี และสาร Bioflavonoid ที่มีความสำคัญในระบบการทำงานอย่างเป็นปกติของร่างกายและผิวพรรณ ซึ่งเป็น Antioxidant ช่วยป้องกันการแก่ก่อนวัย และช่วยเพิ่มประสิทธิของระบบการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดี มีชีวิตชีวา รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมวิตามิน ซี และเสริมการทำงานของวิตามิน ซีให้ดียิ่งขึ้น
Citrus Bioflavonoid จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งพบมากในผลไม้และผักโดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว โดยจะเห็นอยู่คู่กับวิตามินซีเสมอ แต่จะไม่พบในวิตามินที่สังเคราะห์ขึ้นมา
ประโยชน์ของ Citrus Bioflavonoid
· ช่วยชะลอความชรา ยับยั้งความเสื่อมถอยของเซลล์
· ลดการอักเสบของผิวหนังได้เป็นอย่างดี
· กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
· บำรุงผิวพรรณ ลดการอักเสบ
· บำรุงสายตาและลดอาหารโรคตาบอดกลางคืน
· ช่วยให้วิตามินซี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
· เพิ่มความแข็งแรงให้ผนังเส้นเลือดฝอย จึงป้องกันการเกิดรอบปกซ้ำ
· ช่วยรักษาอาการบวมน้ำและวิงเวียนศีรษะที่เป็นผลมาจากโรคของหูชั้นใน
· ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
คำแนะนำในการรับประทาน
· วิตามินซีเสริมอาหารทุกรูปแบบจะทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากมีไบโอฟลาโวนอยด์เสริม
· ควรได้รับไบโอฟลาโวนอยด์ควรคู่ไปกับวิตามินซี อย่างน้อย 100 มิลลิกรัม
· ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการร้อนวูบวาบน้อยลง ถ้าหากได้รับไวฟลาโวนอยด์ร่วมกับวิตามินซี
· หากมีเลือดซึมบริเวณเหงือกหลังแปรงฟันบ่อยๆ ควรรับประทานรูตินและเฮสเพอริดินให้เพียงพอ
· ผู้ที่มีอาการฟกซ้ำดำเขียวได้ง่าย หากทานวิตามินซีร่วมกับไบโอฟลาโวนอยด์ รูติน เฮสเพอริดิน อาการจะดีขึ้น
สารสกัดจากเมล็ดทับทิม (Pomegranate Extract)
1. ป้องกันพิษที่เกิดขึ้นในตับ อาการตับเป็นพิษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยเป็นโรคร้ายต่างๆ ซึ่งสาเหตุหลักก็เกิดจากการทานอาหารตามใจตัวเองมากเกินไปของเรา แต่ในวันนี้เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีการกินอาหารเสียใหม่และเริ่มดูแลตัวเองด้วยการทานสารสกัดเมล็ดทับทิม เพื่อช่วยลดและป้องกันสารที่ก่อให้เกิดพิษในตับของเรา
2. เสริมสร้างแร่ธาตุสำคัญให้กับร่างกาย ภายในเมล็ดทับทิมอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญที่มีประโยชน์หลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินซี และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งช่วยในการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งช่วยแก้ปัญหาโรคขาดสารอาหารทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
3. กระตุ้นความแข็งแรงของภูมิต้านทานป้องกันไข้หวัด การรับประทานสารสกัดจากเมล็ดทับทิมที่มีสารพูนิคาลาจินและฟลาโวนอยด์ จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานไข้หวัดในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดจากไวรัสธรรมดา หรือว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีอันตรายก็สามารถป้องกันได้ด้วยการทานสารสกัดนี้
4. จัดการคอเลสเตอรอลได้อยู่หมัด ด้วยคุณสมบัติของเมล็ดทับทิมที่จะเข้าไปช่วยลดความเข้มข้นของเลือดให้มีจำนวนไขมันลดลง และควบคุมระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงทำให้โอกาสในการเป็นโรคหัวใจน้อยตามไปด้วย การสูบฉีดเลือดดีขึ้นช่วยให้เซลล์ได้รับสารอาหารเต็มที่และมีความแข็งแรงสมบูรณ์
5. กระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของสมอง การรับประทานสารสกัดที่ได้จากเมล็ดทับทิมติดต่อกันอย่างน้อยสองสัปดาห์ขึ้นไปจะช่วยกระตุ้นให้สมองในส่วนของความจำและการมองเห็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถช่วยป้องกันสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed extract)
ตั้งแต่อดีตคนโบราณไม่เพียงแต่ใช้องุ่นเพื่อการรับประทานและการดื่มเท่านั้นแต่ยังมีการนำเอาองุ่นไปทำเป็นยาอีกด้วย หลายส่วนของต้นองุ่นได้ถูกนำไปใช้สำหรับทำเป็นยาหรือสมุนไพร จนกระทั่งในปี ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัดและในที่สุดได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”
OPCs คืออะไร
OPCs เป็นสารสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของไบโอฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า
หน้าที่ของสารสกัดเมล็ดองุ่น
1. หัวใจและหลอดเลือด
· ยับยั้งการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด จึงป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
· เพิ่มความสามารถในการไหลเวียนของโลหิต
· ส่งเสริมให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย เนื่องจาก OPCs สามารถรวมตัวกับคอลลาเจนของผนังหลอดเลือดได้ดี จึงป้องกันอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดหรือโป่งพองได้
2. ดวงตา – ป้องกันการเสื่อมของดวงตา ต้อกระจก ช่วยให้สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดได้ดี
3. ภูมิแพ้ – ลดอาการภูมิแพ้ OPC มีคุณสมบัติในการต้านสารฮีสตามีน จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
4. สมอง – ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือ อัลไซน์เมอร์ โดยที่ OPCs จะเข้าไปขัดขวางการทำลายเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ
5. ผิว – ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าและกระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจนอิลาสตินและการผลิตเม็ดสี อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวช้าหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และควรหยุดการรับประทานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนและหลังการผ่าตัดหรือทำฟัน
เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
คือ สารที่ทำให้เกิดสีแดง สีส้ม และสีเหลืองในผักและผลไม้ ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีนส่งผลดีต่อสุขภาพหลายด้าน เช่น ปกป้องผิว ปกป้องดวงตา บำรุงสมอง และช่วยเสริมสุขภาพโดยรวม
เบต้าแคโรทีนจัดเป็นโปรวิตามินเอ (Provitamin A) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกสารอาหารที่เมื่อได้รับ ร่างกายจะแปลงไปเป็นวิตามินเอ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่อาจช่วยลดปัญหาสุขภาพ
คุณประโยชน์ของเบต้าแคโรทีนต่อสุขภาพ
เบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำอาจช่วยบำรุงสุขภาพ ต่อไปนี้
1. ปกป้องผิวจากรังสียูวี
รังสียูวี (UV: Ultraviolet) เป็นรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด การได้รับแสงยูวีมากเกินไปอาจส่งผลให้เซลล์ผิวเสียหาย คล้ำเสีย อ่อนแอ และทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น ผิวไหม้แดด ผิวหนังอักเสบ และอาจกระตุ้นให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้ นอกจากนี้ รังสียูวียังกระตุ้นการผลิตสารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ภายในร่างกาย เมื่อสารชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลและเกิดปัญหาสุขภาพตามมา
เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ชนิดหนึ่ง เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับกับสารอนุมูลอิสระส่งผลให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล จึงอาจช่วยปกป้องผิวและลดผลกระทบจากรังสียูวี นอกจากนี้เบต้าแคโรทีนยังเป็นการรักษาทางเลือกรูปแบบหนึ่งในผู้ป่วยที่มีภาวะผิวหนังไวต่อแสง (EPP: Erythropoietic Protoporphyria) ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากรังสียูวีมากกว่าคนกลุ่มอื่น
อย่างไรก็ตามสรรพคุณของเบต้าแคโรทีนช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดดในระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเพื่อการปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรทาครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟสูงและสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดด
2. ช่วยเพิ่มความจำและกระตุ้นการทำงานของสมอง
การศึกษาในภาพรวมเกี่ยวกับสรรพคุณของอาหารประเภทผักผลไม้ ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุ ผลการศึกษาส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าผักผลไม้ รวมถึงผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยเสริมเพิ่มประสิทธิภาพความจำ รักษาการทำงานของสมอง และลดความเสี่ยงของโรคสมอง อย่างโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
งานทดลองหนึ่งได้ทดลองการใช้อาหารเสริมเบต้าแคโรทีนติดต่อกันเป็นเวลา 18 ปี พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองมีประสิทธิภาพด้านความจำและการทำงานของสมองที่สูงขึ้นจริง เมื่อเทียบกับคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ใช้อาหารเสริมชนิดนี้ แม้ว่าผลลัพธ์จะดูน่าสนใจ แต่การทดลองนี้ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และผลลัพธ์ที่ได้ก็เพิ่มขึ้นในระดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยระหว่างนั้นก็อาจมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องและส่งผลให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนได้ง่าย อีกทั้งการใช้อาหารเสริมติดต่อกันเป็นเวลานานอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการเลือกรับประทานผักผลไม้เพื่อรับสารอาหารที่ครบถ้วนอาจปลอดภัยและได้ประโยชน์มากกว่า
3. ลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมหรือ AMD (Age-related Macular Degeneration) เป็นโรคพบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ โรคนี้เกิดจากการเสื่อมของดวงตาจากอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออาการรุนแรงอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นและส่งผลต่อการใช้ชีวิตได้
เบต้าแคโรทีนและสารอาหารอื่น ๆ ในกลุ่มแคโรทีนอยด์เป็นสารอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องการบำรุงและปกป้องดวงตา มีรายงานว่าการรับประทานอาหารเสริมเบต้าแคโรทีน ร่วมกับวิตามินซี วิตามินอี และสังกะสีอาจช่วยชะลอการเสื่อมของดวงตาและลดความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรค AMD ชนิดรุนแรงได้
ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งได้ศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันโรค AMD ของสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างลูทีน (Luteins) ซีแซนทีน (Zeaxanthin) รวมถึงเบต้าแคโรทีน และพบว่าการได้รับสารอาหารในกลุ่มนี้จากผักผลไม้อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรค AMD ได้
4. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม
โรคมะเร็งเต้านมเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงไทย สาเหตุของโรคนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งกรรมพันธุ์ โรคประจำตัว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางส่วนชี้ว่าวิตามินเอ ซึ่งรวมถึงเบต้าแคโรทีนอาจมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้
การศึกษาขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งศึกษาประสิทธิภาพการต้านมะเร็งของผัก ผลไม้ วิตามินเอ และแคโรทีนอยด์ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน (Premenopuase) และหลังหมดประจำเดือน (Postmenopuase) ในภายหลังการศึกษาได้ชี้ว่าการรับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ที่มีวิตามินเอและแคโรทีนอยด์สูงอาจลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงในช่วงก่อนหมดประจำเดือนได้ แต่อาจไม่ได้ผลในกลุ่มผู้หญิงที่หมดประจำเดือน โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่
นอกจากนี้ข้อมูลบางส่วนยังพบว่าเบต้าแคโรทีนอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดอื่น อย่างมะเร็งปอดและโรคมะเร็งตับอ่อนด้วย
ไลโคปีน (Lycopene)
ไลโคปีน เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในไขมัน ทำให้พืชหรือผลไม้มีสีแดง เหลือง หรือส้ม พบมากในมะเขือเทศ โดยไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุดในกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้าแคโรทีน (carotene) 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าแอลฟา โทโคฟีรอล (tocopherol) 10 เท่า ซึ่งไลโคปีนจะช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด ลดความรุนแรงที่เกิดจากอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย โดยการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่า
· ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด : การรับประทานไลโคปีน หรือมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีนในปริมาณ 8 - 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 10 - 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด และช่วยดูดซับรังสียูวีเอ และ รังสียูวีบี ทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้มากขึ้น และช่วยลดอาการผิวไหม้อันเกิดจากแสงแดด ทำให้ผิวไม่คล้ำเสียง่าย
· ปกป้องผิวลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) : การรับประทานมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีน 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดดได้ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) โดยช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ไมโตคอนเดรียล (Mitochondrial) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ต่างๆในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ผิวด้วย และช่วยเพิ่มโปรคอลลาเจน (Procollagen) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้
· เพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ : นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยพบว่า การรับประทานสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเช่น ไลโคปีน ร่วมกับ วิตามินอี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ ช่วยลดอาการผิวไหม้แดดและช่วยให้ผิวไหม้แดดหายได้เร็วขึ้น รวมทั้ง วิตามินอี ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอีกด้วย
ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างไลโคปีนได้ จึงต้องรับประทานเข้าไปเท่านั้น โดยพบว่า การรับประทานไลโคปีน 10 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ทำให้ระดับไลโคปีนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และช่วยเพิ่มระดับแคโรทีนอยด์ในผิวหนัง ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด โดยการรับประทานผักผลไม้ที่เป็นแหล่งของไลโคปีน อย่างเช่น มะเขือเทศ ควรนำมะเขือเทศมาทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้โครงสร้างของไลโคปีนเปลี่ยนจาก Trans isomers เป็น Cis isomers ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไลโคปีนได้ดีกว่ารับประทานแบบสดๆ นอกจากนี้ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันดี เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดี ดังนั้น การเลือกรับประทานสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ในการต้านแดด อย่างเช่น ไลโคปีนจากมะเขือเทศ และ วิตามินอี จึงเปรียบเสมือนการเสริมสร้างเกราะปกป้องผิวจากแสงแดด ให้ผิวสวยกระจ่างใส มีสุขภาพที่ดีจากภายใน นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว พักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยทำร้ายผิวจากภายนอก ซึ่งได้แก่ แสงแดด มลภาวะต่างๆ แอลกอฮอล์ และ บุหรี่ ผิวพรรณของเราก็จะคงความสวยงามและอ่อนเยาว์อยู่กับเราได้ยาวนานขึ้น
ซี-เครท
C-CRET
ผิวสวยด้วยสารสกัดจาก Acerola Cherry
สารสกัด Acerola Cherry นั้น เป็นสารสกัดเข้มข้นประกอบไปด้วย แร่ธาตุ โปรตีน ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม และวิตามินเป็นจำนวนมากเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีสูงกว่าวิตามินซีในส้ม และเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอื่น ๆ ได้แก่สารจากแคโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ โดยมีสารสำคัญตัวหนึ่งชื่อว่า Trans-Beta-Carotene ซึ่งสามารถเสริมภูมิต้านทานของร่างกายได้ นอกจากนี้ Anthocyanins ที่พบในอะเซโรล่าเชอร์รี่นั้นยังช่วยลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากรังสียูวีได้
Acerola Cherry ไม่เหมาะกับใครบ้าง
ถึงแม้ว่าอะเซโรล่าเชอร์รี่นั้นจะมีผลดีในด้านการให้วิตามินซี แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับประทานได้ เนื่องจากอะเซโรล่าเชอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมาก ซึ่งวิตามินซีเหล่านั้นอาจทำปฏิกิริยากับยาในกลุ่มควบคุมการแข็งตัวของเลือดและอาจจะลดประสิทธิภาพของยาลงได้ และวิตามินซีที่สูงนั้นอาจมีผลต่อการทำงานของไต ถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่แล้ว การบริโภคอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของอะเซโรล่าเชอร์รี่ ควรอยู่ในการควบคุมและตามคำแนะนำของแพทย์
ประโยชน์ของสารสกัด Acerola Cherry
· สร้างเสริมคอลลาเจน
· เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
· ช่วยลดเลือนริ้วรอย
· ทำหน้าที่เป็นตัวสมานผิว
· ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ
· ต่อต้านอนุมูลอิสระ
· ซ่อมแซมผิวที่เสีย
· ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว
· ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส
· ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี
· ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
· ช่วยจัดการกับปัญหาสิวและปัญหาผิวหนังอื่น ๆ
Citrus Bioflavonoid
สารสกัดจากพืชตระกูลส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี และสาร Bioflavonoid ที่มีความสำคัญในระบบการทำงานอย่างเป็นปกติของร่างกายและผิวพรรณ ซึ่งเป็น Antioxidant ช่วยป้องกันการแก่ก่อนวัย และช่วยเพิ่มประสิทธิของระบบการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดี มีชีวิตชีวา รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมวิตามิน ซี และเสริมการทำงานของวิตามิน ซีให้ดียิ่งขึ้น
Citrus Bioflavonoid จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งพบมากในผลไม้และผักโดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว โดยจะเห็นอยู่คู่กับวิตามินซีเสมอ แต่จะไม่พบในวิตามินที่สังเคราะห์ขึ้นมา
ประโยชน์ของ Citrus Bioflavonoid
· ช่วยชะลอความชรา ยับยั้งความเสื่อมถอยของเซลล์
· ลดการอักเสบของผิวหนังได้เป็นอย่างดี
· กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
· บำรุงผิวพรรณ ลดการอักเสบ
· บำรุงสายตาและลดอาหารโรคตาบอดกลางคืน
· ช่วยให้วิตามินซี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
· เพิ่มความแข็งแรงให้ผนังเส้นเลือดฝอย จึงป้องกันการเกิดรอบปกซ้ำ
· ช่วยรักษาอาการบวมน้ำและวิงเวียนศีรษะที่เป็นผลมาจากโรคของหูชั้นใน
· ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
คำแนะนำในการรับประทาน
· วิตามินซีเสริมอาหารทุกรูปแบบจะทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากมีไบโอฟลาโวนอยด์เสริม
· ควรได้รับไบโอฟลาโวนอยด์ควรคู่ไปกับวิตามินซี อย่างน้อย 100 มิลลิกรัม
· ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการร้อนวูบวาบน้อยลง ถ้าหากได้รับไวฟลาโวนอยด์ร่วมกับวิตามินซี
· หากมีเลือดซึมบริเวณเหงือกหลังแปรงฟันบ่อยๆ ควรรับประทานรูตินและเฮสเพอริดินให้เพียงพอ
· ผู้ที่มีอาการฟกซ้ำดำเขียวได้ง่าย หากทานวิตามินซีร่วมกับไบโอฟลาโวนอยด์ รูติน เฮสเพอริดิน อาการจะดีขึ้น
สารสกัดจากเมล็ดทับทิม (Pomegranate Extract)
1. ป้องกันพิษที่เกิดขึ้นในตับ อาการตับเป็นพิษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยเป็นโรคร้ายต่างๆ ซึ่งสาเหตุหลักก็เกิดจากการทานอาหารตามใจตัวเองมากเกินไปของเรา แต่ในวันนี้เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีการกินอาหารเสียใหม่และเริ่มดูแลตัวเองด้วยการทานสารสกัดเมล็ดทับทิม เพื่อช่วยลดและป้องกันสารที่ก่อให้เกิดพิษในตับของเรา
2. เสริมสร้างแร่ธาตุสำคัญให้กับร่างกาย ภายในเมล็ดทับทิมอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญที่มีประโยชน์หลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินซี และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งช่วยในการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งช่วยแก้ปัญหาโรคขาดสารอาหารทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
3. กระตุ้นความแข็งแรงของภูมิต้านทานป้องกันไข้หวัด การรับประทานสารสกัดจากเมล็ดทับทิมที่มีสารพูนิคาลาจินและฟลาโวนอยด์ จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานไข้หวัดในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดจากไวรัสธรรมดา หรือว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีอันตรายก็สามารถป้องกันได้ด้วยการทานสารสกัดนี้
4. จัดการคอเลสเตอรอลได้อยู่หมัด ด้วยคุณสมบัติของเมล็ดทับทิมที่จะเข้าไปช่วยลดความเข้มข้นของเลือดให้มีจำนวนไขมันลดลง และควบคุมระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงทำให้โอกาสในการเป็นโรคหัวใจน้อยตามไปด้วย การสูบฉีดเลือดดีขึ้นช่วยให้เซลล์ได้รับสารอาหารเต็มที่และมีความแข็งแรงสมบูรณ์
5. กระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของสมอง การรับประทานสารสกัดที่ได้จากเมล็ดทับทิมติดต่อกันอย่างน้อยสองสัปดาห์ขึ้นไปจะช่วยกระตุ้นให้สมองในส่วนของความจำและการมองเห็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถช่วยป้องกันสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed extract)
ตั้งแต่อดีตคนโบราณไม่เพียงแต่ใช้องุ่นเพื่อการรับประทานและการดื่มเท่านั้นแต่ยังมีการนำเอาองุ่นไปทำเป็นยาอีกด้วย หลายส่วนของต้นองุ่นได้ถูกนำไปใช้สำหรับทำเป็นยาหรือสมุนไพร จนกระทั่งในปี ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัดและในที่สุดได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”
OPCs คืออะไร
OPCs เป็นสารสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของไบโอฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า
หน้าที่ของสารสกัดเมล็ดองุ่น
1. หัวใจและหลอดเลือด
· ยับยั้งการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด จึงป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
· เพิ่มความสามารถในการไหลเวียนของโลหิต
· ส่งเสริมให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย เนื่องจาก OPCs สามารถรวมตัวกับคอลลาเจนของผนังหลอดเลือดได้ดี จึงป้องกันอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดหรือโป่งพองได้
2. ดวงตา – ป้องกันการเสื่อมของดวงตา ต้อกระจก ช่วยให้สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดได้ดี
3. ภูมิแพ้ – ลดอาการภูมิแพ้ OPC มีคุณสมบัติในการต้านสารฮีสตามีน จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
4. สมอง – ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือ อัลไซน์เมอร์ โดยที่ OPCs จะเข้าไปขัดขวางการทำลายเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ
5. ผิว – ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าและกระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจนอิลาสตินและการผลิตเม็ดสี อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวช้าหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และควรหยุดการรับประทานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนและหลังการผ่าตัดหรือทำฟัน
เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
คือ สารที่ทำให้เกิดสีแดง สีส้ม และสีเหลืองในผักและผลไม้ ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีนส่งผลดีต่อสุขภาพหลายด้าน เช่น ปกป้องผิว ปกป้องดวงตา บำรุงสมอง และช่วยเสริมสุขภาพโดยรวม
เบต้าแคโรทีนจัดเป็นโปรวิตามินเอ (Provitamin A) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกสารอาหารที่เมื่อได้รับ ร่างกายจะแปลงไปเป็นวิตามินเอ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่อาจช่วยลดปัญหาสุขภาพ
คุณประโยชน์ของเบต้าแคโรทีนต่อสุขภาพ
เบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำอาจช่วยบำรุงสุขภาพ ต่อไปนี้
1. ปกป้องผิวจากรังสียูวี
รังสียูวี (UV: Ultraviolet) เป็นรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด การได้รับแสงยูวีมากเกินไปอาจส่งผลให้เซลล์ผิวเสียหาย คล้ำเสีย อ่อนแอ และทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น ผิวไหม้แดด ผิวหนังอักเสบ และอาจกระตุ้นให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้ นอกจากนี้ รังสียูวียังกระตุ้นการผลิตสารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ภายในร่างกาย เมื่อสารชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลและเกิดปัญหาสุขภาพตามมา
เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ชนิดหนึ่ง เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับกับสารอนุมูลอิสระส่งผลให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล จึงอาจช่วยปกป้องผิวและลดผลกระทบจากรังสียูวี นอกจากนี้เบต้าแคโรทีนยังเป็นการรักษาทางเลือกรูปแบบหนึ่งในผู้ป่วยที่มีภาวะผิวหนังไวต่อแสง (EPP: Erythropoietic Protoporphyria) ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากรังสียูวีมากกว่าคนกลุ่มอื่น
อย่างไรก็ตามสรรพคุณของเบต้าแคโรทีนช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดดในระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเพื่อการปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรทาครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟสูงและสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดด
2. ช่วยเพิ่มความจำและกระตุ้นการทำงานของสมอง
การศึกษาในภาพรวมเกี่ยวกับสรรพคุณของอาหารประเภทผักผลไม้ ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุ ผลการศึกษาส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าผักผลไม้ รวมถึงผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยเสริมเพิ่มประสิทธิภาพความจำ รักษาการทำงานของสมอง และลดความเสี่ยงของโรคสมอง อย่างโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
งานทดลองหนึ่งได้ทดลองการใช้อาหารเสริมเบต้าแคโรทีนติดต่อกันเป็นเวลา 18 ปี พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองมีประสิทธิภาพด้านความจำและการทำงานของสมองที่สูงขึ้นจริง เมื่อเทียบกับคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ใช้อาหารเสริมชนิดนี้ แม้ว่าผลลัพธ์จะดูน่าสนใจ แต่การทดลองนี้ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และผลลัพธ์ที่ได้ก็เพิ่มขึ้นในระดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยระหว่างนั้นก็อาจมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องและส่งผลให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนได้ง่าย อีกทั้งการใช้อาหารเสริมติดต่อกันเป็นเวลานานอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการเลือกรับประทานผักผลไม้เพื่อรับสารอาหารที่ครบถ้วนอาจปลอดภัยและได้ประโยชน์มากกว่า
หน้าที่เข้าชม | 118,162 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 76,291 ครั้ง |
เปิดร้าน | 23 พ.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 25 ส.ค. 2568 |
ตัวแทนปทุมธานี 1.ร้านเตียเจริญ(ทุสาขา) 2.ร้านศิริเวช(ทุกสาขา) 3.สิบสองเภสัช ตลาดคลองสิบสองลำลูกกา 02-5630021 4.ร้านกอปกุลฟาร์มาซี คลอล9 ลำลูกกา 5.ร้านฐานยา คลอง8 ลำลูกกา 6.ร้านธารทองฟาร์มาซี คลอง8 ลำลูกกา 7.ร้านธารทองฟาร์มาซี คลอง7ลำลูกกา 8.ร้านกิตติเวชเภสัช (หลังอำเภอลำลูกกา)คลอง7